ตกขาว เรื่องที่ผู้หญิง คนท้องต้องรู้
ตกขาวคืออะไร เกิดจากอะไร
ตกขาว หมายถึง สารคัดหลั่งที่ถูกขับออกมาทางช่องคลอด มีหน้าที่ช่วยในการหล่อลื่น ป้องกันการติดเชื้อ และระคายเคือง ซึ่งลักษณะ สี และปริมาณของตกขาวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และแต่ละช่วงของรอบเดือน โดยทั่วไปอาจมีลักษณะดังนี้
- วันที่ 1-5 ของรอบเดือน: เป็นช่วงที่มีเลือดประจำเดือน
- วันที่ 6-14 ของรอบเดือน: ส่วนมากจะมีตกขาวน้อยกว่าช่วงปกติ ตกขาวมีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง และอาจมีลักษณะเหนียวได้
- วันที่ 14-25 ของรอบเดือน: ในช่วงก่อนวันตกไข่ ตกขาวอาจมีลักษณะเป็นเมือกลื่นๆ คล้ายไข่ขาว แต่หลังจากมีการตกไข่ ตกขาวจะกลับมามีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง อีกครั้ง
- วันที่ 25-28 ของรอบเดือน: ก่อนมีประจำเดือนจะเป็นช่วงที่ตกขาวมีปริมาณน้อยลงมากจนจางหายไป
คนท้องมีตกขาวไหม
มีค่ะ โดยทั่วไปตกขาวที่มีลักษณะปกติจะมีสีใสหรือสีขาวบ้างเล็กน้อย ไม่มีกลิ่น อาจมีปริมาณมากในช่วงกลางรอบเดือนที่มีการตกไข่ หรือก่อนมีประจำเดือนและหลังมีประจำเดือน ถึงแม้ว่าคนท้องจะไม่มีรอบเดือน แต่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้มีการผลิตเยื่อเมือกมาเพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่นชื่นกับช่องคลอดมากขึ้น อีกทั้งมีการสร้างมูกมาเพื่อปิดกั้นที่ปากมดลูก ไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกได้ และการที่มีเลือดไหลเวียนบริเวณอุ้งเชิงกรานมากขึ้นอาจะส่งผลให้เกิดการตกขาวมากกว่าก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งตกขาวช่วยให้บริเวณช่องคลอดสะอาดและมีสุขภาพดี ล้างแบคทีเรียและเซลล์ที่ตายแล้วออกไป
ตกขาวแบบไหนปกติในคนท้อง
- ตกขาวสีขาวขุ่น
- ตกขาวสีเหลืองอ่อน
- มูกใส
ลักษณะของตกขาว
- สีเขียว มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดว่าเป็นเชื้ออะไร หรืออาจเป็นพยาธิ
- สีขาวขุ่น แสดงออกถึงอาการของเชื้อรา มักมีอาการคันร่วมด้วยหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอด รวมถึงแสบร้อนขณะมีเพศสัมพันธ์ หากคู่นอนมีอาการด้วยก็ต้องได้รับการรักษาร่วมกัน
- สีเทา มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยต้องให้แพทย์ตรวจว่าเป็นแบคทีเรียชนิดไหน หากเป็นแบคทีเรียธรรมดา แพทย์จะให้ยา แต่ถ้าเป็นแบคทีเรียที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะให้ยาคู่นอนด้วย
- สีน้ำตาล หรือตกขาวที่มีเลือดปน อาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ต้องได้รับการตรวจละเอียด เพราะมีโอกาสเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งปากมดลูกได้ (ในคนท้องอาจพบตกขาวลักษณะสีชมพูอ่อนๆ หรือสีเหมือนเลือดประจำเดือนติดที่กางเกงในได้ ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก ที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อน แต่ต้องระวังและคอยสังเกตอาการ เนื่องจากอาจแสดงถึงภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือภาวะแท้งคุกคาม)
ตกขาวตอนตั้งครรภ์ต่างจากตกขาวปกติอย่างไร
ไม่ต่างกัน แต่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์
ตกขาวคนท้องระยะแรก
- ไม่มีกลิ่นแรง หรือมีกลิ่นอ่อน ๆ
- ขาวใส หรือขาวขุ่น
- หนาและลื่น
- ไม่มีอาการคันในช่อคลอด
- ไม่มีอาการปวดกระดูกเชิงกรานร่วมด้วย
ผลกระทบจากการตกขาว > ติดเชื้อ > คลอดก่อนกำหนด
- ตกขาวมาเยอะผิดปกติอาจส่งผลให้ปีกมดลูกเกิดการอักเสบ ท่อนำไข่ตัน เกิดภาวะมีบุตรยาก เพิ่มความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงขึ้น หรือมีก้อนฝี หนองในอุ้งเชิงกรานได้
- ในคนท้อง การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน อาจส่งผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกอาจมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ ติดเชื้อในโพรงมดลูก และน้ำคร่ำ
- ในทารกที่คลอดธรรมชาติอาจติดเชื้อ ทำให้เสี่ยงต่อการตาอักเสบหรือตาบอดได้
- ในระยะยาวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูก
ตกขาว เกิดจากการติดเชื้อต่างๆ ดังต่อไปนี้
การติดเชื้อรา
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ CANDIDA ALBICANS
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด ได้แก่ โรคเบาหวาน การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก (เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด ภาวะตั้งครรภ์) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น การติดเชื้อเอชไอวี การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน)
อาการ: ตกขาวมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก จับกันเป็นก้อนคล้ายนมบูด มักมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด
- การรักษา: ให้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งรูปแบบยาครีม ยาเหน็บช่องคลอด และยารับประทาน เช่น Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Fluconazole
การติดเชื้อแบคทีเรีย
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากกว่าเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้น การติดเชื้อชนิดนี้มักสัมพันธ์กับการมีคู่นอนหลายคน การสวนล้างช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการขาดแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด
อาการ: ส่วนมากจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวมีสีเทา มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา มีอาการคัน อาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย ส่วนอาการอักเสบในช่องคลอดหรือแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอดพบได้น้อย
- การรักษา: ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole, Clindamycin และ ควรงดกิจกรรมทางเพศระหว่างการรักษา
การติดเชื้อจากโปรโตซัว (โรคพยาธิในช่อคลอด)
เกิดจากเชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
อาการ: ตกขาวมีสีเขียวเป็นฟองและมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีอาการแสบร้อนและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีการอับเสบ บวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด มีจุดเลือดออกบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกที่มีลักษณะจำเพาะเรียกว่า Strawberry cervix
- การรักษา: ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole
ให้การรักษาคู่นอนร่วมด้วย
การติดเชื้อไวรัส
เกิดจากเชื้อ Herpes simplex ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม
อาการ: มีตุ่มใส ๆ ขนาดเล็ก ต่อมาจะแตกออกกลายเป็นแผลและแสบคัน มีตกขาวสีเหลือง มีกลิ่นผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งแรกที่ปรากฏอาการ
- การรักษา: ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole
อาหารที่ทำให้เกิดอาการตกขาวมาก
- ปลาร้า ปูดอง ปลาเค็ม
- อาหารหมักดอง กระตุ้นให้เกิดการตกขาวมากกว่าปกติจนทำให้เกิดอาการอับชื้นและตามมาด้วยกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น
- ชา กาแฟ ส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดเสียสมดุล
- อาหารประเภทแป้ง มีน้ำตาลสูง ทำลายแบคทีเรียดีในช่องคลอด
- อาหารที่มีกรดด่างสูง เช่น เนื้อแดง หน่อไม้ฝรั่ง นมเนย บล็อคโคลี่ และแอลกอฮอล์ ทำลายความสมดุลในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นลดจำนวนลง
- อาหารรสจัด กระตุ้นให้เกิดอาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
โดย อ.มนัสวีร์ ศรีมรกต อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล