mombieclub
mombieclub
@mombieclub

วิธีรับมือและป้องกัน เมื่อลูกน้อยหกล้ม!!

วิธีรับมือและป้องกัน เมื่อลูกน้อยหกล้ม!!
วิธีรับมือและป้องกัน เมื่อลูกน้อยหกล้ม!!

การหกล้มของลูกน้อยวัยซน เป็นอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยิ่งกับเด็กวัยหัดเดินขึ้นไป ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยได้รับบาดเจ็บที่ไม่ร้ายแรง ไปจนถึงขั้นที่บาดเจ็บร้ายแรง ก็เป็นได้นะคะ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเรียนรู้วิธีรับมือเมื่อลูกหกล้ม และคอยสังเกตสัญญาณความผิดปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยของเราได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจนเป็นอันตรายได้ค่ะ

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ลูกน้อย "หกล้ม"

มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ลูกน้อยหกล้มแน่นอนค่ะ แต่อาจจะแตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับช่วงอายุ และสถานการณ์ต่างๆ

ช่วงอายุ - ทารกแรกเกิด

  • ล้ม เพราะเปลี่ยนโต๊ะ
  • ตกจากเตียง
  • ผู้ปกครอง/ผู้ดูแล อุ้มทารกเดินสะดุดหรือหกล้ม และปล่อยให้ทารกหลุดมือ
  • ผู้ปกครอง/ผู้ดูแล หลับขณะป้อนนมหรือโยกตัวทารกแล้วทารกหลุดออกจากอ้อมแขน

ช่วงอายุ - เด็กวัยหัดเดินขึ้นไป

  • ล้มลงบนพื้น กระแทกกับพื้นผิวที่แข็งหรือแหลม ในขณะที่กำลังเรียนรู้ที่จะเดิน กลิ้ง และคลาน
  • การตกจากบันไดเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ และอยู่ในช่วงที่กำลังชอบสำรวจสภาพแวดล้อม

การหกล้มเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บในเด็กที่อายุต่ำกว่า 19 ปี ที่อาจจะไม่ร้ายแรง โดยมีเด็กกว่า 8,000 คนที่ได้รับการรักษาจากการหกล้มในทุกวันๆ ที่ห้องฉุกเฉิน คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมีการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ

ในกรณีส่วนใหญ่ที่เกิดการหกล้มไม่รุนแรง หากลูกร้องไห้ทันทีที่หกล้ม ไม่มีเลือดออก และไม่แสดงอาการบาดเจ็บที่ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่สามารถประคองให้ลูกยืนขึ้น และปลอบใจลูกน้อยได้ค่ะ

แต่ก็มีบางสถานการณ์เมื่อ "ลูกหกล้ม" แล้วจะต้องพาลูกน้อยไปพบคุณหมอทันที!!

  • ลูกหมดสติ หลังจากที่หกล้ม
  • ลูกเริ่มอาเจียนทันที
  • เลือดออกจากจมูก หรือหู
  • ลูกมีอาการชัก
  • แขน ขา คอ หรือกระดูกสันหลังดูไม่ตรง ผิดรูป และสงสัยว่ากระดูกหัก
  • กระหม่อม หรือจุดที่อ่อนแอบนกะโหลกศีรษะเริ่มบวม
  • มีร่องรอยของการแตกหักของกะโหลกศีรษะ หรือมีรอยฟกช้ำ เลือดออก มีบาดแผลที่หนังศีรษะ
  • มีสัญญาณใดๆ ที่ลูกน้อยทำตัวไม่เหมือนปกติ เช่น มีอาการซึม หรือไม่อยากอาหาร

โดยเฉพาะถ้า "ลูกน้อยแสดงอาการบาดเจ็บที่คอ กระดูกสันหลัง หนังศีรษะ และหากมีอาการชัก พยายามตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าพวกเขาอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย เพราะหากเคลื่อนย้ายลูกน้อยอาจเสี่ยงที่จะทำให้ได้รับบาดเจ็บ และส่งผลให้อาการแย่ลง" คุณพ่อคุณแม่จึงควรโทรหาโรงพยาบาลทันที เพื่อให้ทางโรงพยาบาลส่งรถมารับตัวลูกไปรักษาค่ะ

การรักษาเบื้องต้นที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเมื่อ "ลูกหกล้ม"

หากลูกน้อยไม่ได้อยู่ในภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์หลังจากหกล้ม สิ่งแรกที่ควรทำคืออุ้มลูกขึ้นมาแล้วปลอบใจลูกน้อย โดยปกติถ้าหากลูกสบายใจได้ง่ายนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี และยังมีสิ่งที่ควรจะทำหลังจากที่ลูกหกล้มแล้วไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน

  1. โทรหาคุณหมอ โดยคุณหมออาจขอให้นำลูกไปพบหรือไม่ก็ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบคุณหมอทันทีที่ทำได้หลังจากหกล้ม เพื่อรับคำแนะนำจากคุณหมอทำความสะอาดแผลหรือรอยถลอก ด้วยสบู่ และน้ำสะอาด
  2. ทาครีมป้องกันแบคทีเรียและใช้ผ้าพันแผล เพื่อปิดแผลที่เกิดขึ้น
  3. หากมีรอยแดงตรงที่ได้รับการกระแทก ให้ประคบเย็นหรือประคบน้ำแข็ง เพื่อป้องกันอาการบวม
  4. หากลูกน้อยง่วงนอน อาจปล่อยให้พวกเขาได้นอนหลับ แต่ต้องตรวจดูอาการของลูกน้อยทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยสบายดี
  5. เฝ้าระวังลูกน้อย เพื่อดูอาการบาดเจ็บที่สมองอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ดูเหมือนตื่นตัวน้อยลง การทำงานของร่างกายน้อยลง ลูกน้อยอาจมีเหงื่อออก หน้าซีด หรือเริ่มอาเจียน

วิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ "ลูกน้อยหกล้ม"

การหกล้มส่วนใหญ่นั้นสามารถป้องกันได้ การหกล้มครั้งแรกของลูกน้อยถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ และเป็นโอกาสในการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดการหกล้มขึ้นอีก โดยมีวิธีการ ดังนี้

  1. ไม่ทิ้งลูกน้อยไว้บนเตียงโดยที่ไม่มีใครดูแล เด็กๆ อาจทำให้คุณประหลาดใจกับความสามารถในการเคลื่อนไหวหรือกลิ้งตัว ก่อนที่จะคิดว่าลูกสามารถทำได้ เมื่อจำเป็นจะต้องหันไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง พยายามเอามืออีกข้างจับลูกน้อยเอาไว้เสมอ
  2. ห้ามใช้รถหัดเดินเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าเป็นอันตราย มีส่วนทำให้เกิดการหกล้ม และได้รับบาดเจ็บได้
  3. ยกระดับเปลของลูกน้อยขึ้น และตรวจสอบความมั่นคง
  4. เมื่อลูกน้อยคลานหรือเดิน ควรเฝ้าดูตลอดเวลา หากจำเป็นต้องห่าง พยายามพาลูกไปอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย เช่น คอกสำหรับปล่อยให้เด็กเล่น (Playpen) หรือเปล
  5. ใช้เข็มขัดนิรภัย และสายรัดนิรภัยบนเบาะรถ เก้าอี้เด็ก เก้าอี้ที่สูงเสมอ
  6. ไม่ทิ้งคาร์ซีทหรือเบาะนั่งสำหรับเด็กไว้บนพื้นที่ยกระดับ เมื่อมีเด็กอยู่บนคาร์ซีท พยายามวางคาร์ซีทเอาไว้บนพื้นที่เรียบเสมอ
  7. วางประตูกั้นเด็กที่ถูกติดตั้งอย่างถูกต้องบนบันไดทั้งหมดในบ้าน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าต่างทั้งหมดมีการล็อก พิจารณารางเพื่อป้องกันความปลอดภัยด้วย
  8. วางเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากหน้าต่าง และตรวจสอบให้แน่ใจว่าปลอดภัย ยึดตู้หนังสือ ลิ้นชัก และทีวีไว้ที่ผนังอย่างมั่นคง

อ้างอิง : ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC)

บทความที่เกี่ยวข้อง