mombieclub
mombieclub
@mombieclub

RSV: ภัยร้าย และอาจอันตรายถึงชีวิต

RSV
RSV

ช่วงนี้ฝนตก อากาศก็ร้อนๆ หนาวๆ กันใช่ไหมคะแม่ๆ ทำให้ร่างกายลูกน้อยของเราต้องรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้เกิดอาการป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะยิ่งกับเด็กเล็กๆ และโรคที่พบมากในเด็กเล็กก็จะมี ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก ไข้เลือดออก อีสุกอีใส และอีกหนึ่งโรคที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งคือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ อาจคิดว่าเป็นแค่โรคธรรมดาๆ เหมือนไข้หวัด แต่ก็ไม่ควรประมาทเพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้นะคะ

RSV คืออะไร?

ไวรัส RSV หรือย่อมาจาก Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากแล้วมักเกิดกับเด็กเล็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี ทารกคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะที่อายุครรภ์น้อยกว่า 29 สัปดาห์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคปอด หรือผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในประเทศไทยอาจพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาวค่ะ

RSV ติดต่อได้หรือไม่?

RSV เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อผ่านสารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกายได้ เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะผู้มีเชื้อ การไอ หรือสัมผัสเชื้อโรค โดยผู้ป่วยจะรับเชื้อไวรัสจากฝอยละอองจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อ อัตราการแพร่กระจายอยู่ที่ผู้ป่วย 1 คน ต่อคนทั่วไปเพียง 1-2 คนเท่านั้น ไม่แพร่กระจายเหมือนโรคหัด หรือคอตีบ ที่ผู้ป่วยจาม 1 ครั้ง อาจแพร่กระจายเชื้อได้ 7-12 คน

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV

หากเด็กได้รับเชื้อ ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน โดยในช่วง 2-4 วันแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา มักมีอาการที่พบ ดังนี้

เหนื่อยหอบ หายใจลำบากหายใจครืดคราด หายใจมีเสียงหวีดมีอาการตัวเขียวไอเสียงดัง แบบมีเสมหะมีเสมหะในลำคอมากเด็กที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือหอบหืดอยู่แล้ว อาจมีอาการหนักถึงขั้นหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เมื่อเชื้อไวรัสในร่างกายมีมากขึ้นส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบตามมา ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ ในบางรายเกิดอาการรุนแรง

อาจใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไวรัส RSV ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อยได้ เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอค่ะ

อาการที่ต้องควรระวัง

หากมีอาการไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing) รับประทานอาหารหรือ นมแม่ ได้น้อย ซึมลง ปากซีดเขียว เพราะผู้ป่วยที่มีอาการหนัก มีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้สูง

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้ค่ะ

ป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้อย่างไร?

ดื่มน้ำให้เพียงพอสวมหน้ากากอนามัยล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าใกล้ สัมผัส หรืออุ้มลูก เนื่องจากมือของคุณแม่อาจจะบังเอิญสัมผัสกับเชื้อโรคจากที่ใดที่หนึ่งแล้วไม่ได้ล้างมือ เมื่อคุณแม่สัมผัสลูก ก็อาจทำให้เด็กติดเชื้อไวรัส RSV ได้ค่ะหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกได้รับการสัมผัสโดยตรงจากคนแปลกหน้า เช่น การกอด หรือหอมแก้มเพื่อเป็นการป้องกันเชื้อไวรัส RSVหากลูกหลานมีอาการติดเชื้อไวรัส RSV ควรหยุดพักรักษาอาการให้หายขาด ไม่ควรอนุญาติให้ไปโรงเรียนก่อนที่อาการจะหายเนื่องจากสามารถแพร่เชื้อไวรัสให้แก่เด็กคนอื่นๆ ได้

แล้วไวรัส RSV กับ Covid-19 ไวรัสตัวไหนอันตรายกว่ากัน!

เป็นไวรัสที่อันตรายทั้ง 2 ชนิดค่ะ แต่ RSV จะก่อให้เกิดความรุนแรงในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3-5 ปี ส่วน COVID มักจะเกิดอาการรุนแรงในผู้ใหญ่

บทความที่เกี่ยวข้อง